รับทำเว็บ บริการ รับทำเว็บสไตล์เกาหลี โปรโมชั่น รับทำเว็บ สั่งทำเว็บไซต์เกาหลี สั่งทำเว็บไซต์เกาหลี เว็บบอร์ด รับทำเว็บสั่งทำเว็บไซต์เกาหลี แบบฟอร์มทำเว็บไซต์เกาหลี ผลงาน รับทำเว็บ
รับทำเว็บ
 
 

รับทำเว็บ ♥ iChicweb

mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterToday263
mod_vvisit_counterThis month11219
mod_vvisit_counterAll days3229629

วันที่เปิดเว็บ : 10/06/2010 ❤

Login ♥






ลืมรหัสผ่าน?
ลืมชื่อผู้ใช้ของคุณ?
ไม่มีบัญชีผู้ใช้? ลงทะเบียน

คำรับรองจากลูกค้า :: iChicweb

ผลงานรับทำเว็บ iChicweb ♥

★ รับข่าวสาร Update!! จากเรา

Name:

Email:

เพื่อนบ้านที่น่ารั๊ก ♥ จุ๊ฟๆ

Host Atom

P&T Hosting Co., Ltd. :: บริการ | จดโดเมนเนม | เว็บโฮสติ้ง | VPS | Co-location |

สนใจเป็นเพื่อนบ้านกับ iChicWeb ติดต่อได้ค่า

 

แลกลิงค์ Banner 120x120

fashion

Copy Code แลกลิงค์ไปติดที่เว็บของคุณ
เรามี 567 บุคคลทั่วไป ออนไลน์
Google PageRank Checker

 
 
 
 
 
Tip :: สาระน่ารู้เกี่ยวกับ E-commerce
Tip :: สาระน่ารู้เกี่ยวกับ E-commerce

Tip :: สาระน่ารู้เกี่ยวกับ E-commerce (6)

5 เทคนิคง่ายๆ ทำเว็บ E-Commerce ติด Search Engine ได้โดยไม่ต้องปรับแต่งอะไรมาก

      หาก คุณต้องการหาซื้อสินค้าซักชิ้นนึง และอยากหาซื้อสินค้านี้ในช่องทางออนไลน์หรือเว็บไซต์ คุณจะหาสินค้าที่ต้องการได้อย่างไร? ผมว่าเกือบ 90% เกือบทุกคนจะบอกว่า ก็ค้นหาข้อมูลสินค้าที่ต้องการในบริการค้นหาข้อมูลออนไลน์ หรือ Search Engine เอาสิ.!? แหมเป็นวิธีที่คนเกือบทุกคนทั่วประเทศและทั่วโลก ต่างก็ใช้วิธีนี้กันหมดแหละ ซึ่งผมว่าหลายๆ คนก็คงจะเลือกใช้วิธีนี้เช่นกัน

      นั่นคงจะเป็นคำตอบของผู้ที่ซื้อและค้นหาข้อมูล แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ "ผู้ขาย" ของทางอินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ ก็คงอยากให้ข้อมูลสินค้าของเว็บไซต์ของคุณ ไปอยู่อันดับต้นๆ ของผลของการค้นหาในระบบ Search Engine ที่คนค้นหา "คำ" (Keyword) ที่เกี่ยวข้อง (Related) กับสินค้าของคุณ แต่การที่จะให้ข้อมูลสินค้าหรือเว็บไซต์ของคุณขึ้นไปอยู่อันดับต้นๆ ของผลของการค้นหาข้อมูลจาก Search Engine ดังๆ อย่าง Google.com หรือ Yahoo.com คงจะไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ และเป็นเรื่องบังเอิญได้บ่อยครั้งหรอกครับ มันมีวิธีการและขั้นตอนการทำให้เว็บไซต์ของคุณ ขึ้นไปเด่นเป็นสง่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของการค้นหาได้อย่างไม่ยากเลย ซึ่งเราเรียกวิธีการทำแบบนี้ว่า การตลาดผ่านการค้นหา (Search Engine Marketing) ซึ่งจะเห็นได้เลยว่า การตลาดวิธีนี้ เกี่ยวข้องกับการค้าขายออนไลน์หรือ E-Commerce แทบจะ 100% เลย

      จากประสบการณ์ของผม เว็บไซต์ร้านค้าขายของใน TARAD.com ที่ผมให้เปิดให้บริการอยู่ หลายๆ เว็บไซต์ร้านส่วนใหญ่ มียอดขายมากเกิน 50% มาจากคนที่เข้ามาเว็บไซต์ของเค้า ผ่านมาทางการค้นหาข้อมูลจาก Search Engine และบางเว็บไซต์มียอดขายมากกว่า 90% ที่ลูกค้ามักจะเข้ามาซื้อสินค้าของร้านค้าของเค้าผ่านการค้นหาผ่าน Search Engine แต่หลายๆ คนมักจะถามว่า "ทำยังไงเว็บไซต์ของผม ถึงจะไปอยู่อันดับต้นๆ ของการค้นหาได้?" ของแบบนี้คงอาจจะได้มาจากโชคช่วย หรือไม่คุณก็สามารถสร้างโชคให้มันเข้ามาหาคุณได้เช่นกัน

แอบสังเกตุพฤติกรรมคนค้นหาสินค้าผ่านเว็บ
      ส่วนใหญ่คนที่จะค้นหาสินค้าเกือบ 80% มักจะค้นหาข้อมูลสินค้า จาก Search Engine และส่วนใหญ่จะใช้? ยี่ห้อ, รุ่น, สเป็ก ของสินค้าที่ต้องการหา เป็นคำในการค้นหา เช่น ผมต้องการหาซื้อ รถยนต์ BMW 323i ปี 2000 ผมก็ค้นหาด้วยคำว่า "BMW 323i ปี 2000" ซึ่งจะเห็นว่าจะเป็นการค้นหาด้วย ยี่ห้อ รุ่น ซะส่วนใหญ่ ซึ่งในบางกรณี ก็จะเริ่มมีการระบุตำแหน่งหรือ พื้นที่ที่ต้องการซื้อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพื่อระบุให้แคบลงมาว่า ต้องการหาข้อมูลสินค้านี้ในพื้นที่ นั้นๆ? เช่น ผมต้องการหาซื้อ เฟอร์นิเจอร์ และผมอยู่เชียงใหม่ ผมก็จะค้นหาคำว่า "เฟอร์นิเจอร์ เชียงใหม่" นี้คือพฤติกรรมโดยทั่วไปของคนที่มักจะค้นหาสินค้าทางออนไลน์


เทคนิคง่ายๆ บ้านๆ ที่จะทำให้เว็บไซต์คุณติดในการค้นหา
      ทีนี้พอเรารู้แล้วว่าคนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมในการค้นหา ข้อมูลสินค้าผ่านเว็บไซต์อย่างไร เราลองมาดูว่า เราจะทำยังไงให้เว็บไซต์ของเรา มีโอกาสที่จะไปติดอยู่ในผลลัพย์ของการค้นหาของ Search Engine ได้บ้าง โดยผมคงไม่ลงรายละเอียดเชิงเทคนิคว่าเราจะทำยังไงให้เว็บเราติดการค้นหาของ Search Engine เพราะมันอาจจะต้องเล่ายาวมากๆ และอาจจะต้องมีขั้นตอนในเชิงเทคนิคมากมายที่คุณจะต้องไปปรับแต่งเว็บไซต์ของ คุณ แต่ผมจะแนะนำเทคนิคง่ายๆ สำหรับท่านที่มีเว็บไซต์ ไว้ขายสินค้าของตัวเอง ว่าจะทำยังไง ถึงทำให้เว็บไซต์ของคุณ ติดอยู่ในผลลัพย์ของการค้นหาผ่านระบบค้นหา Search Engine ครับ

5 วิธีการง่ายๆ เพิ่มโอกาสเว็บไซต์ติด Search Engine

   1. ในหน้าเว็บไซต์ สินค้าของคุณ ควรจะมี ชื่อสินค้า ยี่ห้อ รุ่น อยู่ในหน้าเว็บไซต์ของคุณอย่างชัดเจน และถูกตำแหน่ง ซึ่งตำแหน่งที่คุณจะใส่ได้แก่ ด้านบนสุดของหน้าเว็บไซต์ (Title Page)

   2. ในหน้าๆ นั้น ควรจะมี ชื่อสินค้า ยี่ห้อ รุ่น ซ้ำกันหลายๆ ครั้ง เช่น Nokia 5800 ก็ควรมีการเขียนคำๆ นี้ลงไปในหน้าสินค้าของคุณซ้ำกันหลายๆ ครั้ง เพื่อทำให้ระบบ Search Engine เข้าใจว่า หน้านี้น่าจะเกี่ยวข้องกับ Nokia 5800 เพราะหน้านี้มีคำๆ นี้ซ้ำกันหลายๆ ครั้ง (โอกาสที่จะติดอยู่ในอันดับแรกๆ ก็จะเริ่มมีแล้ว)

   3. หน้าเว็บไซต์สินค้าของคุณ "ไม่ควรมีข้อมูลสินค้าเพียงไม่กี่ประโยค และก็ราคาเท่านั้น" เพราะจะทำให้ระบบค้นหาข้อมูลหรือ Search Engine คิดว่าข้อมูลของเว็บไซต์ของคุณน้อยเกินไป ซึ่งนั้นหมายถึงโอกาสที่จะไปติดอันดับต้นๆ ก็น้อยตามลงไปด้วย ซึ่งในทางที่ถูกต้องคุณควรจะให้รายละเอียดข้อมูลของสินค้ามากและครบถ้วนมาก ที่สุดเท่าที่จะทำได้? เพราะการให้ข้อมูลที่มากเพียงพอ เช่น ข้อมูลสเป็กรายละเอียดสินค้าที่ครบถ้วน (ภายในเนื้อหาที่ใส่ลงไป ก็อย่าลืมทรอดแทรก ยี่ห้อ สินค้า และรุ่นลงไปด้วย) นอกจากจะทำให้คนที่เข้าซื้อสินค้าของคุณ อ่านและเข้าใจในตัวสินค้าแล้ว ยังช่วยทำให้เพิ่มโอกาสในการทำให้ Search Engin ค้นหาเว็บไซต์คุณเจอได้เช่นกัน

   4. ควรมีชื่อพื้นที่ที่คุณต้องการขาย หากคุณต้องการเน้นขายคนในพื้นที่เดียวกับคุณเช่น ขายคนในจังหวัด ภาค หรืออำเภอ การใส่ข้อมูลที่เป็นพื้นที่ลงไปในเว็บไซต์ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เราติดอยู่ ในอันดับต้น ๆ หาคนค้นหาผ่าน ชื่อจังหวัดลงไป พร้อมสินค้า

   5. พยายามแลกลิงค์ หรือทำลิงค์มาจากเว็บไซต์อื่นๆ เยอะ มาหาที่เว็บไซต์ของคุณ ซึ่งหามีเยอะ และยิ่งมีลิงค์จากเว็บไซต์ที่เป็นที่รู้จัก และโด่งดังอยู่แล้ว นั้นหมายถึง เว็บไซต์ของคุณก็จะมีโอกาส ติดใน Search Engine ได้เร็วมากขึ้น หรือจะเข้าไปที่ หรือจะเข้าไปเพิ่มเว็บไซต์ของเราตรงๆ เช่นของ Google.com สามารถเพิ่มเว็บไซต์เข้าไปได้ที่ www.google.com/addurl ได้เลย นี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ที่จะทำ Search Engine รู้จักเว็บเราได้เร็วมากขึ้น

Credit :: Pawoot : marketingbyte.com

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน 2011 เวลา 00:12 น.

การเลือกสินค้ามาขายอย่างมีสติ

Written by

 

การเลือกขายสินค้านั่น ถือได้ว่าเป็นประเด็นหลักๆ ที่อาจช่วยให้คุณหรือผมประสบความสำเร็จในการขายได้ ฉนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณควรจะมีก็คือ “การเลือกสินค้ามาขายอย่างมีสติ” จากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มานั้นเชื่อว่าหลายท่านอาจเคยอ่านบทความเก่าๆ ของผมเมื่อปี 2006 ที่ผ่านมาเกี่ยวกับกฏเกณฑ์การเลือกสินค้าเพื่อสร้างร้านค้าออนไลน์ aStore ที่เคยสร้างเงินให้กับผมอย่างมากมายในช่วงนั้น (ปัจจุบันก็ยังทำเงินนะครับ แต่อาจทำอันดับได้ยากกว่าอดีตมาก)

 

การเลือกสินค้าบางครั้งก็ต้องอาศัยกฏเกณฑ์ที่ซับซ้อนเช่นกัน แต่ในบางครั้งนั้นก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเลือกสินค้าใดๆ เลยถ้าเราได้เลือกกลุ่มสินค้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหตุผลก็เพราะว่าเมื่อเราได้เลือกกลุ่มไปแล้วนั้นสินค้าภายในกลุ่ม จะขายได้อย่างแน่นอนโดยไม่มีเงื่อนไขเพราะความแคบของตัวเลือกนั้นมีการเฉพาะ เจาะจงมากขึ้น เช่นกลุ่มสินค้าประเภทเสื้อผ้า (คงไม่มีอย่างอื่นไปปนหรอกมังครับ เช่น ยารักษาโรค อะไรทำนองนี้)

 

ใน Amazon นั้นก็มีสินค้าอยู่มากมายก่ายกอง เป็นร้อยเป็นพันล้านรายการ คล้ายกับป่าอเมซอน ที่มีพืชหลากหลายชนิดนั่นแหละ แล้วก็ยังมีสิ่งที่อาจเป็นอันตรายด้วยเช่นกัน สินค้าบางตัวนั้นเป็นสินค้าที่ขายดีมากๆ แต่ว่าอาจไม่มีคนขายหรือเราค้นหาไม่พบ สินค้าเหล่านี้มักเป็นสินค้าที่ไม่ค่อยจะดังเพราะว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้กล่าว ถึง (จงค้นหามันให้เจอ) แล้วนำมาทำเป็นเงินให้กับเรา สินค้าลักษณะแบบนี้ผมเรียกว่า “สินค้าทำเงิน” พยายามอย่าสับสนระหว่างสินค้าขายดี กับ สินค้าทำเงินนะครับเพราะความเหมือนที่ว่านั้นต่างกัน

 

ก่อนการเริ่มต้นที่ดีเราต้องมองถึงความเป็นไปได้ในระยะยาวของเราเสียก่อน ครับว่า จะสามารถขายสินค้าเหล่านั้นได้นานตลอดทั้งปีหรือไม่อย่างไร หรือเราต้องแข่งขันกับใครบ้างในปัจจุบันและอนาคตอันไกล้นี้ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันเป็นผลสะท้อนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงแค่ข้ามคืนเท่า นั้นเองครับ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “จงมีสติให้รอบคอบก่อนการเลือกแนะนำสินค้าเสมอ” ไม่ใช่สับแต่ว่าพอเราเห็นว่าเขาขายสินค้าใดได้ดีเราก็อยากจะมีส่วนแบ่งกับ เขาบ้าง หรือไปขายแข่งกับเขาโดยที่ลืมมองที่ความสามารถในการแข่งขันของเราเช่น การขายกล้องดิจิตอล หรือ ทีวีต่างๆ ซึ่งแน่นอนครับว่าเราต้องแบกรับความยาวนานกว่าจะได้ขาจแจ๊คเสียบทีวีสักเส้น ที่อาจมีราคาเพียงแค่ $9 ให้เราได้เจ็บใจเล่นๆ ไปตลอดทั้งปีก็เป็นได้

 

ฉนั้นประเด็นสำคัญก็คือ ให้มองหาสินค้าที่อาจมีการแข่งขันที่น้อยเอามากๆ เพื่อนำมาทำตลาดและขายเพราะสินค้าเหล่านั้นจะเป็นสินค้าที่ทำเงินให้กับเรา ได้ตลอดปี และอาจจะตลอดไปด้วยถ้าคนอื่นไม่มาเจอกับสินค้าเดียวกับเราเสียก่อนนะครับ โดยทั่วไปแล้วอาจใช้เวลาสักระยะ และบางสินค้านั้นยาวนานจนเราอาจลืมไปแล้วว่าเรายังขายได้อยู่ทุกวัน เพราะสินค้าลักษณะนี้เป็นสินค้าที่ผมเองก็ทำอยู่ปัจจุบัน แต่การแข่งขันก็น้อยมากเช่นมีจำนวนการแข่งขันเพียงแค่ 7-10 เพจเท่านั้นเอง (อันนี้ยังไงก็ติดอันดับหน้าแรก ฮะๆๆๆๆ) แต่ก็ยังต้องแข่งอยู่ดีนะครับ เพียงแต่ว่ามันแข่งกันไม่รุนแรงมากเพียงแค่เราต้องให้ได้อันดับที่ 1-3 มาครองก็พอแล้ว

 

ผมมีวิธีในการเลือกสินค้าแบบง่ายๆ ดังนี้ครับ อันนี้เป็นวิธีการของผมซึ่งก็ใช้ได้ผลซะด้วยซิครับในปัจจุบัน นั่นก็คือ

 

  1. เลือกจากสินค้าที่อาจอยู่ลึกๆ ในหมวดหมู่นั้นๆ
  2. ตรวจดูการแข่งขันว่ามากน้อยแค่ไหนถ้าไม่เกิน 100-20,000 เพจผมเอามาขาย
  3. สินค้านั้นต้องราคาพอประมาณคืออยู่ที่ $25-$500 (ถ้าต่ำกว่านี้ หรือมากกว่านี้ไม่เอา)
  4. มีปริมาณการค้นหาอย่างน้อยวันละ 20-100 คน
  5. เป็นสินค้าที่นิยมในปัจจุบัน แต่คนไม่ขาย (อาจหายากหน่อยแต่มีแน่)
  6. เขียนบล็อกการตลาด พร้อมกับสร้างร้าน aStore เอาไว้ขายสินค้านั้นๆ ด้วย (ช่วยๆ กัน)
  7. กำหนดคำค้นหาให้ตรงจุด อาจต้องลองค้นๆ ดูหลายๆ วิธีการหน่อยแต่มีคำเด็ดๆ แน่

 

อันนี้ก็เป็นวิธีการต่างๆ ที่ผมใช้ในปัจจุบันนะครับและก็จะต้องมีการกำหนดว่าภายใน 2-3 สัปดาห์นั้นจะต้องขายสินค้าในกลุ่มนั้นๆ ได้ด้วยและต้องได้ตามเกณฑ์ที่ผมกำหนดเช่น 10 วันต้องผ่านที่ $100 หรือถ้าต่ำกว่านั้นก็ต้องมีแนวโน้มที่น่าสนใจจริงๆ โดยทั่วไปแล้วจะผ่านหมดเพราะการแข่งขันที่ต่ำและสินค้ามักเป็นที่นิยมแต่อาจ เป็นกลุ่มคนค้นหาในจำนวนที่น้อยกว่า เท่านั้นเองครับ ข้อสำคัญที่สุดให้หมั่นสังเกตุสิ่งที่ตนเองทำเสมอว่าผลไปในทิศทางใดบ้าง เพื่อจะได้ทำการปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นนั่นเองครับ และถ้าท่านทำแบบนี้ผมเชื่อว่ายังไงก็ขายได้แต่จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับ ตัวท่านเองที่เลือกคำค้นหาได้ถูกต้องตามลูกค้าต้องการหรือไม่เท่านั้นเอง.


 

ที่มา : เมกเมนนี่ดอทคอม

http://wittybuzz.blogspot.com/2010_01_01_archive.html

 


วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2011 เวลา 23:40 น.

เทคนิคในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์

Written by

 

การออกแบบ รูปแบบแสดงผล และสีสันของเว็บไซต์ควรแสดงออกถึงความน่าเชื่อถือ เช่น การใช้รูปแบบที่แสดงออกถึงความจริงจังในการทำธุรกิจ จริงจังในการขายสินค้าและบริการ ไม่ใช้รูปแบบที่แสดงออกถึงความตลกขบขัน ดูไม่เป็นมืออาชีพ สีที่ใช้บนเว็บไซต์ควรแสดงออกถึงความจริงจัง น่าเชื่อถือ อย่างโทนสีน้ำเงิน สีเทา หรือโทนสีเข้ม ไม่ควรใช้โทนสีสดใสมากจนเกินไป ยกเว้นสินค้ากลุ่ม trendy, fashion หรือกลุ่มที่ต้องการความสดใส

เมนูต่าง ๆ ของเว็บไซต์ควรถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ และที่สำคัญควรมีเมนู ติดต่อเรา หรือ Contact us ซึ่งถือว่าเป็นเมนูสร้างความน่าเชื่อถือที่ดีที่สุด เพราะจะแสดงข้อมูล และรายละเอียดของเจ้าของเว็บไซต์ ในการให้ข้อมูล ควรใส่รายละเอียดที่แสดงถึงชื่อองค์กร หรือชื่อเจ้าของเว็บไซต์ ที่ตั้งสำนักงาน หมายเลขโทรศัพท์ ควรเป็นหมายเลขโทรศัพท์พื้นฐาน เพราะจะแสดงความน่าเชื่อถือมากกว่าการมีหมายเลขโทรศัพท์มือถือเพียงอย่างเดียว

 

นอกจากนี้ควรมีแผนที่ที่ตั้งสำนักงาน รูปถ่ายสถานที่ รูปถ่ายผู้บริหาร หรือเจ้าของ    ธุรกิจ ซึ่งสามารถช่วยให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ 
มีอีกหนึ่งเมนูที่ควรแสดงอยู่บนเว็บไซต์เพื่อช่วยสร้างความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น คือ เมนูประสบการณ์ผู้ใช้สินค้า หรือบริการ เจ้าของเว็บไซต์สามารถนำตัวอย่างลูกค้า ที่เคยซื้อสินค้า หรือเคยใช้บริการ ขึ้นแสดงบนหน้าเว็บไซต์เพื่อแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์นี้เคยให้บริการกับลูกค้ารายอื่น ๆ หากลูกค้ามีชื่อเสียงในวงสังคม หรือเป็นผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ ย่อมก่อให้เกิดผลในทางบวก และส่งเสริมภาพลักษณ์ของเว็บไซต์ให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามการนำชื่อผู้ใช้สินค้ามาแสดงเพื่อบอกความน่าเชื่อถือนั้นจะต้องเป็นลูกค้าของเว็บไซต์จริง และเป็นผู้ที่มีลักษณะสอดคล้องกับเว็บไซต์ เช่น เว็บไซต์จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับเด็ก ผู้ที่จะนำมายกเป็นตัวอย่างลูกค้าควรเป็นผู้ที่มีบุตรแล้ว เป็นต้น

 

การสร้างความน่าเชื่อถือ อีกวิธีหนึ่ง คือ การสมัครขอเลขพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กับทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์จะต้องนำเว็บไซต์ไปผ่านการตรวจรับรอง ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือว่าเว็บไซต์นี้อยู่ในขอบเขตของกฏหมาย นอกจากนี้การมี หัวข้อ นโยบายความเป็นส่วนตัว หรือ เงื่อนไขการใช้เว็บไซต์ จะช่วยแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของเจ้าของเว็บไซต์ เพราะแสดงขอบเขตของการให้บริการ และคุณสมบัติของลูกค้า แต่ในการใช้นโยบายความเป็นส่วนตัว หรือ เงื่อนไขการใช้เว็บไซต์ ต้องขึ้นอยู่กับลักษณะของสินค้าและบริการด้วย


วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2011 เวลา 23:40 น.

เทคนิคการเริ่มทำเว็บไซต์

Written by

เว็บไซต์คืออะไร ?

 
- เว็บไซต์ เป็นที่รวบรวมหน้าข้อมูลใน รูปแบบอิเล็คทรอนิคส์ที่ประกอบไปด้วย ข้อความ ภาพ และ เสียง เข้าด้วยกันโดยใช้ชื่อ domain ,sub domain หรือ ip address ในการอ้างถึงข้อมูลเหล่านั้น
- เว็บไซต์เป็นสื่อยุคใหม่ที่เข้าถึงได้จากทั่วโลก เข้าได้จากที่ใดก็ตามที่ สามารถเชื่อมต่อด้วยอินเตอร์เน็ต

ความพิเศษของเว็บไซต์...

- เข้าถึงได้จากทั่วโลก.. เว็บไซต์เป็นสื่อ ที่เข้าถึงได้จากทั่วโลก ผู้ชมของเว็บไซต์นั้นๆไม่ถูกจำกัดที่ระยะทางหรืออาณาเขตอีกต่อไป   


- บริการ 24 ชั่วโมง ...เว็บ ไซต์ เปิดบริการได้ 24 ชั่วโมง การออกแบบเว็บไซต์ที่ดี เว็บไซต์นั้นควรจะพร้อมเสมอที่รองรับการสั่งซื้อตลอด 24 ชั่วโมงหรือมีข้อมูลคำถามคำตอบ กรณีเจ้าหน้าที่ตอบคำถามทางโทรศัพท์ หรืออีเมล์ไม่อยู่


- ปรับเปลี่ยนข้อมูลได้ง่าย... เว็บไซต์เป็นสื่อที่ สามารถที่จะปรับเปลี่ยนข้อมูลให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ดังนั้นการทำเว็บที่ดี ต้องให้ข้อมูลที่ทันสมัยตลอด

ไม่เช่นนั้นจะขาดความน่าเชื่อถือ
 
- แสดงข้อมูลได้มาก ... เว็บไซต์สามารถเก็บข้อมูลได้มาก  ข้อมูลเก่าๆที่มีความเหมาะสม สามารถยังคงไว้ในเว็บไซต์ได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเพียงแต่หากเกี่ยวข้องกับเวลา ควรจะมีการระบุวันเวลาของเนื้อหานั้นไว้ การมีข้อมูลจำนวนมากเป็นผลดีที่จะช่วยให้ผู้ชมเข้ามาเว็บไซต์มากด้วยเพราะการมีหน้าเว็บมากเหมือนมีประตูเล็กๆจำนวนมาก อาจจะมีคนเสิร์ชมาจาก Google แล้วมาติดหน้าเว็บไซต์ต่างๆของเราได้
 
....แม้วันนี้จะมีผู้คนสนใจเปิดเว็บไซต์กันเป็นจำนวนมาก แต่อย่างไร ก็ตาม การเปิดเว็บไซต์เพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอเพราะไม่ว่าเว็บไซต์ที่จัดทำขึ้นมานั้นจะลงทุนมากน้อยเพียงใด แต่หากไม่มีคนเข้าชมมากพอ ก็ไม่อาจที่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์
 
....ดังนั้นการทำเว็บไซต์ให้จำหน่ายสินค้าได้นั้น ต้องอาศัยกระบวน การหลายอย่างที่ต้องทำ เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ให้ดี  มีผู้เข้าชมมากพอและ ผู้ชมที่เข้ามาต้องมีคุณภาพ ตรงกลุ่มเป้าหมายและข้อมูลในเว็บไซต์ต้องได้รับการออกแบบให้เข้าถึงได้ง่ายและสื่อสารต่อผู้ชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ


เว็บไซต์ที่ดี บางทีเงินก็ซื้อไม่ได้

 
....ผู้ประกอบการทุกคนทราบดีว่า ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมีเว็บไซต์ ...แต่การมีเว็บเพียงอย่างเดียวอาจยังไม่พอหากดูความผิดพลาดในอดีตของผู้ประกอบการที่กล้ากระโดดลง สนามการค้าออนไลน์ มาเปิดเว็บไซต์ แล้วล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมากก็เพราะความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการค้าผ่านเว็บไซต์ที่ผู้ประกอบการเหล่านั้น ยังไม่ทันได้รู้ว่าจริงๆ แล้วต้องทำอย่างไร ?
 
ความรู้  ที่มาจากต่างประเทศ แบบไม่ได้ปรับ ให้เข้ากับประเทศเรา ทำให้ผู้ประกอบการเสียเงิน และเสียเวลาไปกับสิ่งที่มีผลเพียงน้อยนิดในการที่จะทำให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จ เช่น บางคนกว่าจะรู้ว่า คนไทยส่วนใหญ่ชอบอ่านเนื้อหาในเว็บเป็นภาษาไทยมากกว่าภาษาอังกฤษ แม้บางคนจะอ่านภาษาอังกฤษได้ก็ตาม....

ขอบคุณ : คุณบุรินทร์ เกล็ดมณี www.ReadyPlanet.com

10 Nov 2009
ขอบคุณที่มา ::  www.thaiecommerce.org

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2011 เวลา 23:40 น.

ประโยชน์ของการทำ E-Commerce

Written by

 

Online Marketing เป็นช่องทางดำเนินธุรกิจอีกทางหนึ่ง ที่ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจาก Internet เป็นทั้งเครื่องมือการค้า ช่องทางการจำหน่าย และ ช่องทางโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า ได้อย่างกว้างขวาง เพราะฉะนั้น E-Commerce จึงได้พลิกโฉมรูปแบบการค้า และ เปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของเรา

 

ดังนั้น เราจึงไม่ควรมองข้ามตลาดออนไลน์ หรือ E-Commerece ดังกล่าวไปได้เลย เพราะสังคมออนไลน์เติบโตขึ้นทุกวัน การทำงานในรูปแบบ Work at Home ก็มีอัตราการเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งกลุ่มคนออนไลน์เหล่านี้ จะนิยมใช้บริการออนไลน์เป็นอย่างมาก เช่น online banking, ซื้อของออนไลน์, chat, หาเพื่อน, หาคู่เดทออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งพฤติกรรมของสังคมออนไลน์ดังกล่าว สามารถเพิ่มโอกาสทำรายได้ให้แก่ผู้ทำ E-Commerce ได้อย่างมากเลยทีเดียว

 

สินค้าที่นิยมนำมา ทำธุรกิจ E-Commerce ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อรู้จักอยู่แล้ว ซึ่งลูกค้าเลือกซื้อได้จากทุกที่ เช่น หนังสือ ของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ดอกไม้ เครื่องประดับ เพลง video game ซอฟต์แวร์ ข้อมูลจากซีดีรอม เป็นต้น

 

ข้อดีของการทำ E-Commerce นั้น ช่วยทำให้ผู้ประกอบการ ประหยัดกว่า การทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่ต้องส่ง catalogue ไปให้ลูกค้าเลือกซื้อ หรือ เสียค่าเช่าเปิดบูธแสดงสินค้าในงาน trade show ต่าง ๆ เพื่อโปรโมตสินค้า

 

ถ้า สร้างเว็บไซต์ E-Commerce บนอินเตอร์เน็ต เพื่อทำเป็นบู๊ธแสดงสินค้าถาวร ที่ลูกค้าสามารถเข้าชมได้ตลอด 24 ชั่วโมง และ ดำเนินการค้าขายได้อย่างอิสระทั่วโลก ซึ่งนับเป็นข้อดีอีกข้อของ การทำ E-Commerce

 

หากเราไม่อยากจะ สร้างเว็บไซต์ ของตัวเอง ซึ่งค่อนข้างยุ่งยาก เราอาจจะจ้าง บริษัทรับออกแบบเว็บ E-Commerce ช่วย สร้างเว็บไซต์ และ ดูแลเว็บไซต์ ตลอดอายุการใช้งานได้ ซึ่งจะเป็นที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ และ เป็นการง่ายต่อผู้ซื้อในต่างประเทศ ที่จะเลือกซื้อสินค้าได้ ซึ่ง บริการออกแบบเว็บอีคอมเมิร์ซ นี้ Wittybuzz เปิดให้บริการอยู่

 

การทำ E-Commerce เป็นการตลาดที่ใช้ต้นทุนต่ำ เพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปติดต่อธุรกิจกันเลย ง่ายต่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ใช้บริการ Internet ได้ง่ายมาก ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และ เวลาสำหรับผู้ซื้อกับผู้ขาย และ ไม่จำเป็นต้องเปิดร้านขายสินค้า ที่ต้องมีการจดทะเบียนต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร เพียงแค่มีสินค้า และ บริการให้กับลูกค้าเท่านั้น เราก็สามารถ ดำเนินธุรกิจ E-Commerce ได้อย่างสะดวกสบายแล้ว

 

ขอบคุณที่มา ::  

clickbkk.com


 
วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2011 เวลา 23:40 น.

เตรียมความพร้อมก่อนทำเว็บขายของ (E-commerce)

Written by

การเริ่มต้นทำเว็บขายของ หรือ เว็บ E-commerce นั้น สิ่งที่ควรเตรียมก่อนสิ่งอื่น คือ เราจะต้องมีสินค้าหรือบริการอยู่แล้ว ไม่ว่าสินค้านั้น จะเป็นสินค้าที่เป็นชิ้น ๆ ที่สามารถส่งได้ทางไปรษณีย์ และ ขนส่งผ่านบริษัทส่งของก็ตาม หรือ อาจจะเป็นซอฟต์แวร์ที่ไม่ต้องขนส่ง แต่สามารถให้ลูกค้าดาวน์โหลดเอาไปใช้ได้

ขั้นตอนต่อมา เราจะต้องมี web hosting สำหรับวางเว็บไซต์ของเรา ซึ่งบริษัท hosting server เหล่านี้มีอยู่มากมายที่เราสามารถเลือกใช้บริการได้ แต่เราก็ต้องดูอีกว่า ซอฟต์แวร์จำพวก shopping cart ที่เราจะใช้นั้น hosting server รองรับหรือเปล่า?

ที่สำคัญอีกประการถัดมาคือ เราจะต้องมีเว็บไซต์เพื่อที่จะทำเป็น เว็บอีคอมเมิร์ซ เสียก่อน ซึ่งปัจจุบันนี้ มีหลายเว็บไซต์ให้บริการทำเว็บขายของฟรี แต่กระนั้น หากเราต้องการทำเว็บขายของ ที่มีรูปแบบ การออกแบบเว็บอีคอมเมิร์ซ เป็นส่วนตัว และไม่ซ้ำแบบใครนั้น เราจำเป็นจะต้องมี เว็บไซต์ E-commerce ส่วนตัว เพื่อที่เราจะได้ทำอะไรได้เต็มที่กับเว็บไซต์เของเรา

หากคุณยังไม่พร้อมที่จะ ออกแบบเว็บอีคอมเมิร์ซ ด้วยตัวเอง ทีมงาน iChicweb ของเราพร้อมให้ บริการออกแบบเว็บ E-commerce เพื่อทำให้ การทำเว็บขายของ ของคุณสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

สำหรับวิธีการชำระเงินของ การทำเว็บขายของออนไลน์ ที่ให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้นนั้น ได้แก่ ชำระผ่านบัตรเครดิต สั่งจ่ายเช็ค โอนเงินผ่านธนาคาร หรือ online banking ธนาณัติ หรือ ตั๋วแลกเงินทางไปรษณีย์ การชำระผ่าน PayPal และ PaySbuy เป็นต้น

ประการสุดท้าย ซึ่งนับว่าสำคัญที่สุด คือ เราจำเป็นจะต้องมีกลยุทธทางการตลาดให้กับเว็บไซต์ พร้อมทั้งสร้างความดึงดูดใจลูกค้าอยู่เสมอ เช่น มีการลดราคาสินค้าบ้างเป็นครั้งคราว มี discount sales ให้ลูกค้าในกรณีสั่งซื้อจำนวนมากต่อครั้ง เพิ่มสินค้าและบริการใหม่ ๆ เข้ามาสม่ำเสมอ เป็นต้น

โดยสรุปแล้ว เราจำเป็นต้องมีหลักการตลาดที่ดี และอย่าลืมทำ การพัฒนาเว็บไซต์ E-commerce ของเราให้เป็นที่รู้จัก โดย การโปรโมตเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ด้วยรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การทำ SEO เพื่อให้ เว็บอีคอมเมิร์ซ ของเราถูกค้นพบใน search engines การลงโฆษณาแบบ pay per click กับบริษัทที่ไว้วางใจได้ในเรื่อง invalid clicks อย่าง Google หรืออาจจะลงโฆษณาใน รูปแบบของ affiliate program ที่เราจะจ่ายเงินให้คนลงโฆษณา เมื่อมีการซื้อขายสินค้าของเราผ่านการแนะนำ (Referral) ของเขาเกิดขึ้น


ขอขอบคุณที่มา ::  
 
 
 
 
 
 

คุยสดๆกับเราที่นี่!!
รับทำเว็บเกาหลี